Lost in Indonesia from Mars to Paradise
สวัสดีกันอีกครั้งครับ
รอบนี้ห่างหายไปนานเลยทีเดียวครับ
กลับมารอบนี้ ผมไปเที่ยวประเทศที่ผมเพิ่งจะเคยไปเป็นครั้งแรกอีกแล้วครับ (ประเทศใหม่ตลอดเพราะไม่ค่อยได้ไปไหน ฮ่าๆ)
นั่นคือประเทศ อินโดนีเซีย นี่เอง ผมคิดว่าคงจะมีบล็อกเกอร์รีวิวไปเยอะมากๆแล้วกับเส้นทาง โบรโม่-คาวาอีเจี้ยน นะครับ
แต่ สำหรับผมนั่นต้องบอกว่า… ก็ไปเหมือนกับเค้านั่นแหละครับ ฮาาาาา แต่ เดี๋ยวๆ ปกติเค้าไปเที่ยวกัน 5-6 วัน
ของเราไม่ครับ ยิงยาวๆกัน 17 วันไปเลย ไหนๆไปทั้งทีก็ไปให้ครบๆทุกแลนด์มาร์คฮะ มาติดตามกันดีกว่า ว่าผมไปยังไง เดินทางยังไงบ้าง
พบกับ Lost in Indonesia from Mars to Paradise หรือชื่อไทยเท่ๆว่า ชาย 4 เดินหลงจากดาวอังคารจนสู่เกาะสวรรค์
เอ๊ะ จะเท่หรือตลกดี ฮ่าาาา
มาสรุปค่าใช้จ่ายกันก่อนเลยดีกว่า เผื่อใครไม่อยากดูรายละเอียดยิบย่อยก็ดูย่อหน้านี้ แล้วข้ามไปเลยฮะ เหมือนบอกเฉลยกันตั้งแต่ต้นเลย
ตั๋วเครื่องบิน (3,320 บาท)
- เชียงใหม่-กรุงเทพ (ไปกลับ) = 1,160 บาท
- ดอนเมือง-บาหลี = 790 บาท
- บาหลี-สุราบายา = 650 บาท
- ลอมบอก-ยอกยา = 1,500 บาท
- สุราบายา-ดอนเมือง = 720 บาท
ทุกคนคงสงสัยว่าทำไมตั๋วถูก คือผมจองล่วงหน้าทริปนี้เกือบๆ 1 ปีครับ เป็นตั๋วโปรโมทชั่นของ AirAsia ใครๆก็บินได้นั่นเอง ส่วนตั๋วอื่นๆก็ค่อยๆมาจองตอนจัดทีมครบครับ เช่นตั๋ว ลอมบอก-ยอกยา
ค่าโรงแรม (6,536 บาท)
- 06-08 JUNE JATI 3 BUNGALOWS (1,001 บาท/คน หาร 4)
- 09-10 JUNE HOTEL CEMARA INDAH (รวมในแพคทัวร์)
- 11 JUNE CATIMOR HOMESTAY (รวมในแพคทัวร์)
- 12-13 JUNE PUJI BUNGALOW (1,100 บาท/คน หาร 2)
- 14-15 JUNE LOTUS GARDEN HUTS (1,100 บาท/คน หาร 2)
- 16 JUNE Meno Smile Cottages (300 บาท/คน หาร 2)
- 17-18 JUNE M’adison Gilli (1,600 บาท/คน หาร 2)
- 19 JUNE Pantai South Lombok Villas (600 บาท/คน หาร 2)
- 20-21 JUNE Hotel pop gandekan malioboro (835 บาท/คน หาร 2)
ค่าโรงแรมสองอาทิตย์ 6,000 กว่าบาท นี่ผมถือว่าถูกมากๆนะครับ ลองหาร 15 วัน ตกประมาณวันละ 400 กว่าบาทเอง ค่าครองชีพที่นี่ฟินมากๆคับ โรงแรมสวยๆดีไซน์เท่ๆ ก็เห็นว่าไม่แพงมากด้วยนะครับ ผมมานั่งทำรีวิวนี่ยังอยากกลับไปอีกรอบเลยฮะ
ค่าทัวร์
ค่าทัวร์จะแบ่งเป็น บาหลี 1 วันครึ่ง + โบรโม่ 2 วัน + คาวาอีเจี้ยน 1 วันครับ
ทั้งหมดคนละ 2.850.000 IDR (7,500 บาท) ถ้า 4 คนก็คูณ 4 ไปครับ
ผมดีลแล้วก็คิดว่าคุ้มดีครับ ใครสนใจติดต่อคนนี้เลยครับ
https://www.facebook.com/mitra.trexs
ชื่อ มิทรา นิสัยดีมากครับ อยากได้อะไรก็บอกได้เลย แต่มิทราจะทำเฉพาะที่โบรโม่นะครับ
ส่วนที่บาหลี มิทราให้โทนี่ซึ่งรับงานจากมิทราอีกทีมาครับ
สิ่งที่เราจะได้จากราคานี้นะครับ
– รถยนต์ 5 ที่นั่งที่บาหลี และมารับที่สนามบิน
– คนขับรถที่บาหลี (โทนี่)
– ทัวร์บาหลี 1 วัน เลือกได้ว่าอยากไปไหนครับ
– รถยนต์มารับที่สนามบินสุราบายา
– รถจิ๊บทัวร์ที่โบรโม่ + คาวาอีเจี้ยน
– คนขับรถพาทัวร์โบรโม่ + คาวาอีเจี้ยน
– ค่าน้ำมันรถ
– ค่าโรงแรมที่โบรโม่ 2 คืน + คาวาอีเจี้ยน 1 คืน
– ค่าเข้าโบรโม่
รวมค่าใช้จ่ายในทริปถ้าเดินทางตามผม 17 วัน
ประมาณคร่าวๆ รวมกินด้วยนะครับ ตกคนละ 25,000-30,000 บาท ไม่น่าเกินจากนี้ครับ
ก่อนเข้าเรื่อง ไปชม VTR เอ้ย VDO การเดินทางกันไปก่อนครับ มี 3 ตอน
แต่ใครขี้เกียจดู อยากดูรูปอย่างเดว ก็รูดผ่านไปเลยฮะ
Mars to Paradise , Part One : JAVA (เดินเล่นบนดาวอังคาร)
Mars to Paradise , Part Two : BALI (Summer Paradise)
Mars to Paradise , Part Three : GILI ISLAND (ดำน้ำเกาะสวรรค์)
ดูวีดีโอจบแล้วก็มาเข้าเรื่องสาระกันบ้างครับ
ประเทศอินโดนีเซียต้องขอวีซ่ามั้ย
– ไม่ต้องขอวีซ่าครับ คนไทยสามารถอยู่ได้ 30 วัน สวยๆ
การเดินทางไปที่ต่างๆลำบากมั้ย
– ถ้าในบาหลี จะเช่ามอเตอร์ไซค์ขับก็ได้ครับ ขี่เหมือนที่บ้านเรา หรือถ้าไปหลายคนเช่ารถขับก็ราคาไม่แพง ถ้าอย่างพวกโบรโม่ภูเขาไฟ อันนี้ต้องมีคนขับรถขับให้อยู่แล้วเพราะทางลำบาก ต้องเป็นคนในพื้นที่ครับ เพราะงั้นสบาย มีเงินก็พอ
ค่าครองชีพแพงหรือเปล่า
– ถูกกว่าบ้านเราครับ อาหารการกินอยู่ในราคาปกติ ข้าวจานละ 40-50 บาท ก๋วยเตี๋ยว 30 บาท น้ำดื่มอะไรก็ไม่แพงครับ เบียร์ยังถูกเลยนะ
การสื่อสารล่ะลำบากมั้ย
– คนอินโดตามสถานที่ท่องเที่ยวเช่น Ubud หรือ Bromo ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้หมดครับ ไม่ต้องกลัวเลย เมนูบางร้านก็มีภาษาอังกฤษ
อินโดเป็นประเทศที่เดินทางนานนิดนึง ไม่เหมือน สิงคโปร์ มาเลเซีย แต่บอกเลยว่า ธรรมชาติที่นี่เวอร์วัง อลังการงานสร้างมากกกก เพราะงั้นตามผมมาเลยฮะ ผมจะขยี้ให้คุณแท็คเพื่อน ชวนฝูง จองตั๋วไปอินโดกันพรุ่งนี้เลย
มาดูแผนการเดินทางกันครับ
สถานที่เที่ยวหลักๆที่พวกเราไปกันนะครับ
- วัดวาอาราม ตัวเมืองอุบุด ชายหาด ที่บาหลี
- น้ำตกยักษ์ที่ Madakaripura Waterfall
- ภูเขาไฟโบรโม่ คาวาอีเจี้ยน
- วัดบุโรพุทธโธ ที่ยอกยาการ์ตา
- วิวทะเลสีคราม สวยๆบนเกาะ Nusa บาหลี
- ดำน้ำ เดินชิวริมหาด NightOut ที่เกาะ Gili ลอมบอก
การเตรียมตัวสำหรับทริปนี้มีอะไรบ้าง
- หาเพื่อนไป (ควรอย่างน้อย 4 คน เพื่อหารค่าทัวร์จะได้ถูกๆ)
- จองตั๋วทุกอย่าง (เครื่องบิน , ทัวร์โบรโม่ , โรงแรม , รถไฟ)
สำหรับรถไฟผมดูตารางรถจากที่เว็บนี้ครับ https://www.kereta-api.co.id/ แล้วไปจองที่สถานีรถไฟวันแรกที่ไปถึงยอกยาครับ
มีเจ้าหน้าที่ช่วยครับ ไม่ยากๆ ส่วนทัวร์โบรโม่ก็จองผ่าน inbox chat กับมิทรา ได้เลยครับ ดีลกันผ่านอีเมลล์ก็ได้แล้วแต่สะดวกครับ - เตรียมตัว เตรียมของรับกับสภาพอากาศ ที่โบรโม่ค่อนข้างหนาวหน่อยครับ ยิ่งถ้าสายถ่ายดาวกลางคืนก็เตรียมแจ๊คเก็ตหนาหน่อย
ถ้าไปน้ำตก ควรจะมีถุงกันน้ำ และ กล้องที่กันน้ำได้ครับ และถ้าไปเที่ยวทะเลก็มีชุดว่ายน้ำชุดไหนเด็ดก็จัดมาฮะ - เตรียมใจ พร้อมแล้ว ออกเดินทางกันเลย
Day 1 : DMK-DPS
-มาจากเชียงใหม่วันที่ 5 นั่งๆนอนๆ รอขึ้นเครื่องตอน 6:15 เช้า
-เราจะถึงบาหลีตอน 11:30 นั่นคือใช้เวลานั่งเครื่อง 4 ชั่วโมงกว่าๆ
-เวลาที่บาหลีเร็วกว่าเรา 1 ชม.
-และยังเร็วกว่าเกาะชวา หรือเมืองหลวงของอินโดเอง กรุงจาร์กาต้า 1 ชม. เช่นกัน
-ช่วงวันที่ 11 june – 09 july บาหลีมีงาน arts festival พอดี
-ถึงบาหลี ก็ตามหา Toni ไกด์และคนขับรถของเราจะพาเข้าเมือง
-ที่สนามบินมีฟรีไวไฟแต่ไม่ค่อยเร็วนะ พอถูไถ
-ซื้อซิมในสนามบินบาหลี แพงมาก 450,000 รวมโทรได้ 50 นาที ควรซื้อข้างนอกนะ
-ก่อนเข้าเมืองแวะกินข้าวก่อน เป็นอาหารของทางชวา เรียกว่า ลาลาปัน มีไก่ซอสผงกระหรี่ ผัก เต้าหู้ มาพร้อมกับข้าวที่โรยกระเทียม ที่สำคัญต้องใช้มือกิน โดยจะมีถ้วยใส่น้ำให้ล้างมือก่อน
-จากสนามบินเข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 1 ชม. กว่าๆ ขึ้นอยู่กับการจราจรด้วย
-การจราจรที่นี่ติดขัดมาก เพราะถนนมีแค่ 2 เลนหรือเปล่า รถวิ่งสวนกันลำบากจริงๆ รถค่อนข้างติด
-กว่าจะถึง ubud ใช้เวลาไป 2 ชม. กว่าๆ
-เราพักกันที่ Jati 3 Bungalow อยู่แถวๆ Monkey Forest ต้องเดินเข้าซอยหน่อยนึงมีป้ายที่ถนนใหญ่
-นอนที่นี่ 3 คืน 1,500,000 รูปี เป็นเงินไทยประมาณ 4000 บาท ตกคนละ 1000 บาท
-การคิดค่าเงินให้ตัด 0 ออก 3 ตัวแล้วคูณ 2.8-3
-ออกมา Tanah Lot ค่อนข้างไกล นั่งไปประมาณ 1 ชม. รถติดอีกตะหาก มาถึงฟ้าปิดสนิท
-เสียค่าเข้าคนละ 30,000 ค่าจอดรถ 5,000
-ที่นี่ก็ไม่มีอะไร แต่สวยดี วัดที่อยู่บนหินขนาดใหญ่ คลื่นก็พัดมากระแทกโขดหินไปดูเพลินๆ
-กิน coke แถวๆทางเข้า โดนไปขวดละ 15,000 มาเจอใน minimart ขวดละ 6,000 ไอแซ้สสสส
-คลื่นที่บาหลีแรงมากกกกก (ง.งู ล้านตัว) เค้าถึงชอบมาเล่นเซิร์ฟบอร์ดกันที่นี่สินะ
-ถ่ายรูปออกกันมาเป็นกรุ๊ปสุดท้าย มืดมาก ต้องส่องไฟออกมา
-กลับไปหาข้าวกินแถวๆโรงแรม
-ร้านแถวที่พักเป็นร้านอาหาร บาร์ ส่วนใหญ่
-พรุ่งนี้นัดกับ Tony 7:30 น.
Day 2 : Bali
-มาเจอ Toni ตอนเช้า 7:30
-เปลี่ยนแพลนเล็กน้อย มาแวะวัด Goa Gaja ก่อน ค่าเข้า 15,000 rupiah
-ที่นี่เปิด 8 โมง ซื้อตั๋วแล้วก็เดินลงไปข้างล่างหน่อย ข้างล่างก็ จะมีบ่อน้ำ ถ้ำ จะเห็นคนอินโดเอามือรองน้ำมาดื่ม
-ส่วนใหญ่ข้างล่างไม่ค่อยมีอะไร มาดูก็โอเคนะ
-ไปวัด Pura Tirtha Empul วัดน้ำศักดิ์สิทธิ์
-ค่าเข้าคนละ 15,000 rupiah เข้ามาก็หยิบโสร่งมาใส่คลุมกางเกงอีกที ขายาวขาสั้นก็ต้องใส่นะ
-เดินเข้ามาก็จะเจอบ่อน้ำ จะมีคนลงไปอาบน้ำ ผมไม่ได้ลงนะ แต่เพื่อนที่ไปด้วยลง บอกว่าเย็นมาก มีปลาด้วยอ่ะข้างล่าง
-ระหว่างทางออกต้องเดินผ่านร้านขายของ เต็มไปหมด พอได้ยินเราพูดไทยกัน แม่ค้าก็ขายของภาษาไทยเต็มที่ จ่ายเป็นเงินไทยก็ได้นะ ถ้าต่อราคาไม่ได้ ใช้แผนเดิม เดินหนี ก็ได้ราคาถูกกว่าเดิมหลายเท่า
-เดินทางกันต่อ
-เราไปวัดที่ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของบาหลี หรือ ประเทศอินโดเลย คือวัด Pura Ulun Danu beretan
-ค่าเข้าแพงสุดเลย 30,000 rupiah
-วัดตั้งอยู่บนเขา แล้วมีทะเลสาปด้วย อากาศข้างบนเลยค่อนข้างเย็น ถ้าดูตามรูปที่ถ่ายมาคือสวยโฮก อยากไป แต่เอาเข้าจริงก็ไม่เท่าไร ก็สวยแหละ มาๆ จิงน่าาา
-รอบๆจะมีท่าเรือ และคนขับเรือเร็วพาไปดูวัดหรือเปล่าไม่แน่ใจนะคับ แต่ขับเร็วมาก เห็นมีคนนั่งไปมาอยู่นะ
-ถ่ายรูปได้แป๊ปเดียวฝนก็ตก หมอกมาจากไหนเต็มเลย
-วัดจะปิดให้เข้าก่อน 5 โมงนะ แต่ออกอาจจะหลังจากนั้นได้ ที่วัด Tanah Lot ก็เหมือนกัน
-ออกจากวัดก็เข้าวัดอีกแล้ว =_=
-ไปวัด Taman Ayum ค่าเข้าอีกคนละ 20,000
-ชื่อวัดแปลว่า Swing Park คืออัลไล
-ในวัดจะให้เดินได้รอบๆ ถ่ายรูปได้ รอบๆวัดจะมีบ่อน้ำล้อมรอบอยู่ ก็สวยดีฮะ
-จากนั้นกลับเข้าเมือง ubud มาหาข้าวกิน และบอกลา Toni นะไว้เจอกันใหม่
-Toni โอเคมากๆรู้ว่าเราจะถ่ายรูปก็ปล่อยเราตามสบาย แล้วก็รอเราไม่บ่นเลย 👌🏻
-แวะมากินข้าวแถวๆสี่แยกตรงตลาดเช้า ชื่อร้าน Tino อยู่ในซอย ราคาไม่แพงเลยได้ข้าวผัดราคา 28,000 เบียร์ก็ราคามาตรฐานตาม มินิมาร์ทเลย
-พรุ่งนี้ไม่มีไกด์แล้ว ไปแว๊นซ์เกาะบาหลีกันดีกว่า เฮ้
Day 3 : 08-06-2016 Bali
-วันนี้ตื่นสายหน่อยกินอาหารเช้าโรงแรม
-เจอเพื่อนชาวอเมริกา อยู่บาหลี 10 วัน คุยกันนิดหน่อยบนโต๊ะอาหารเช้า
-รีบเดินมาตลาดเช้ากันต่อ แต่สายแล้ว ตลาดเริ่มวาย ที่ตลาดจะมีขายของกินแล้วก็ดอกไม้บูชา มีวัดอยู่ตรงตลาดด้วยนะ
-วันนี้มีงานแห่อะไรสักอย่าง เดินจากวัดหนึ่งไปอีกวัดหนึ่ง
-ถ่ายรูปเสร็จทำตัวชิลนิดๆเดินมา lotus cafe ไม่ไกลจากตลาด ข้างๆเป็นร้านกาแฟ starbucks
-ด้านในเป็นวัดที่มีบ่อบัวอยู่สวยนะ มาถ่ายรูปกัน
-กลับโรงแรม เช่ามอไซค์ที่โรงแรมคันละ 60,000 rupiah หารคนละ 30,000
-เสร็จแล้วแว๊นซ์ไป Tanah Lot กันใช้เวลาประมาณ 1 ชม กว่าๆ
-รถเช่าถ้าเช่าข้างนอกจะถูกกว่า แต่ร้านเช่าจะถามหา International License ซึ่งผมไม่ได้ทำไป
-การขี่มอเตอร์ไซค์ที่นี่ไม่ยากครับ ถนนหนทางค่อนข้างร่มรื่นด้วยซ้ำ ต้นไม้เยอะ ผ่านนาขั้นบันไดตลอดทางไปวัด
-ระหว่างทางแวะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางก่อน ถูกมากๆ ราคา 10,000 ต่อถ้วย
-วันนี้มาถึงวัดเร็วกว่าวันแรก ที่วัดก็จะปิดทางลงไปชายหาด ยังไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินลงไป เพราะคลื่นแรง และน้ำยังขึ้นอยู่ ก็จะเห็นนักท่องเที่ยว ขึ้นไปยืนถ่ายรูปด้านบนกันครับ
-ส่วนผมเดินขึ้นไปทางด้านหลังหน่อย จะมีร้านขายของอยู่เยอะเลย เรียงตามเขาด้านบน หากเราต้องการนั่งตรงร้านไหนเพื่อถ่ายรูปแค่สั่งน้ำก็ได้แล้วครับ ปลายสุดก็จะเป็นหน้าผามองไปเห็นสนามกอล์ฟ
-เส้นทาง Tanah lot จะประกอบด้วยวัดมากมาย แต่ที่ดังๆก็วัดนี้ครับ ถ้าเราเดินไปทางขวาตามทางเดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ วัดอีกวัดที่ตั้งอยู่บนหน้าผา ชื่อวัด Pura Batu Bolong ถ้าเดินไปอีกก็จะเจอน้ำตกเล็กๆ ลงมาตรงหน้าผา แต่เดินค่อนข้างลำบากนะครับ มีเดินข้ามแม่น้ำเล็ก ปีนโขดหิน แล้วต้องรอให้น้ำลงจริงๆก่อนด้วย ไม่งั้นอาจจะอันตรายครับ
-กลับออกจากวัดก็มืดแล้วครับ
-คืนนี้ก่อนจากก็ไปแฮงค์เอ้าท์ซะหน่อย แถวๆย่าน Monkey Street จะมีร้านพวกนี้เยอะ เรียงกันติดกันเป็นแถว ร้านจะปิดประมาณตีหนึ่ง ราคาเครื่องดื่ม อาหารก็ไม่แพงมากครับ บางร้านเป็นดนตรีสด เล่นกันมันส์ดี ส่วนพวกเราลงเอยที่ร้าน Chill Out ฮะ ลุงหนวดเจ้าของร้านเทคแคร์พวกเราอย่างดี คืนนี้เต้นกันหลุดดาวอังคารไปเลย
Day 4 : Go to Bromo
-เช้าวันนี้ตื่นมาด้วยความงัวเงีย เพราะนัดรถ Taxi ไว้เมื่อคืนแล้ว ให้เด็กที่โรงแรมเรียกให้ เรานัดไว้ 6:30 รถก็มาตรงเวลาฮะ
-ค่า Taxi เหมาไปสนามบิน 300,000 rupiah เป็นรถ Suzuki กึ่งตู้หน่อยๆฮะ
-ลุงขับช้ามาก แถมแอร์ไม่เปิดอีก กว่าจะมาถึงสนามบินก็ 8 โมงกว่าๆ ละครับ ก็รีบเช็คอิน ไปต่อฮะ
-จัดแจงเช็คอินเสร็จก็เตรียมตัวไปสุราบายากันต่อ
-สนามบินอินโดนีเซียห้ามเอาขาตั้งกล้องขึ้นนะ
-สนามบินบาหลี T2 สำหรับบินในประเทศ อยู่ไกลจาก T1 พอสมควรเลย
-นั่งเครื่อง 1 ชม. พอดิบพอดี นั่งจาก 9:55 ถึง 9:55 เวลาช้ากว่าบาหลี 1 ชม. เวลาเท่าไทยแล้ว
-ถึงสนามบินเจอมิทรามารอรับ
-มิทราเป็นคนขับรถจี๊บมาก่อน ลักษณะคือวัยรุ่นอินโดตัวผอมบาง เงียบๆ ไม่ค่อยพูดเท่าไร
-แนะนำตัวกันเสร็จก็เตรียมไปโบรโม่กันเลย
-นั่งรถมุ่งหน้าไปโบรโม่ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็สัปหงก หลับกันไป
-แพลนตอนแรกคือจะไปน้ำตก Madakuripura แต่มิทราบอกว่าวันนี้เมฆเยอะฝนอาจจะตก ถ้าฝนตก น้ำตกจะปิดเพราะอันตราย
-เลยเปลี่ยนแผนไปโรงแรมเลย
-เราพักกันที่ Hotel Cemara indah 2 คืน
-ด้านข้างโรงแรมมองเห็นโบรโม่ได้เลย
-ด้านบนเมืองนี้อากาศค่อนข้างเย็น พอเรามาถึงหมอกลงเต็มเมือง มองไม่เห็นโบรโม่เลย หวังว่าคืนนี้ฟ้าจะเปิดนะ
-มาถึงที่โรงแรมประมาณเกือบๆ 3 โมง เก็บของในห้องเสร็จก็ออกมาเดินเล่น ด้านบนของโรงแรมจะมีจุดถ่ายรูปอยู่ คือเป็นริมผาเลย เรามาเล็งไว้แล้วกะว่าค่ำนี้จะออกมาถ่ายดาวกัน
-คนมาพักที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนไทยแฮะ
-เจอน้องๆผู้หญิง เด็กนักศึกษาแพทย์มากันเป็นกลุ่มน่ารักดีครับ เพื่อนผมเลยชวนน้องๆไปถ่ายรูปดาวด้วยกัน
-ตกค่ำก็ออกไปถ่ายดาวที่จุดชมวิว อากาศค่อนข้างหนาว แต่แจ๊คเก็ตกับฮีตเทคก็พอไหวอยู่นะ
-ข้างล่างมีหมอกปกคลุมเต็มไปหมด นี่แหละที่อยากได้ ข้างบนก็มีทางช้างเผือก ฟินจริงๆคืนนี้
-ถ่ายรูปเสร็จก็เกือบๆ 5 ทุ่มแล้ว ต้องรีบกลับไปพัก พรุ่งนี้เช้าเราจะตื่นไปจุดชมวิว Pinajakan กันตอนตี 4
Day 5 : Mt.Bromo + Madakipura Waterfall
-เช้านี้เราตรงเวลากันพอดี Mitra มารอรับ เปิดเพลง Avicii เตรียมพร้อมให้ตื่นกันเลย
-แต่ผมง่วงมากกก
-นั่งบนจี๊บลงเขาผ่านโบรโม่ไปกันมืดๆ ทางรุกรัง แอดเวนเจอร์ดี
-แล้วก็ขึ้นเขาไปอีกฝั่ง ตอนเช้าเราจะมองวิวไม่ถนัด พอแสงพระอาทิตย์เริ่มมาแล้ว ต้องอุทาน แม่มโคตรสวยเลย
-บนจุดชมวิว คนก็ไม่เยอะมากนะ อาจจะเพราะไม่ใช่ช่วงพีค แต่พวกผมไปช้าก็ไม่มีที่ยืนเหมือนกัน เลยต้องหามุมอื่นถ่าย แต่บนนี้จุดถ่ายรูปเยอะนะ
-ด้านบนจุดชมวิวจะมีร้านขายของข้างทาง ทั้งกาแฟ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผ้าพันคอ ถุงมือ แล้วแต่จะเลือกเลยฮะ
-ตอนที่อยู่โรงแรมไม่ค่อยเห็นใคร ไม่คิดว่าคนจะเยอะ พอเช้ามาเท่านั้นแหละ โห คนเพียบ มาจากไหนเยอะแยะ รถจี๊บเต็มไปหมด รถทุกคันมุ่งสู่โบรโม่
-ถ่ายรูปเสร็จก็เตรียมตัวกลับโรงแรม เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปน้ำตกยักษ์ Madakuripura กัน
-คืออยู่บนจุดชมวิวนี่หนาวมาก ต้องใส่ฮีทเทค แจ๊คเก็ต แต่น้ำตกนี้เรารู้มาว่าต้องเดินผ่านม่านน้ำตกเข้าไป อาจจะเปียก เลยต้องใส่รองเท้าแตะ และกางเกงขาสั้น
-จากโรงแรมไปน้ำตกจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
-ไปถึงทางเข้าน้ำตกจะมีมอไซค์มารอเราเลย ราคาต่อเที่ยวคือ 10,000 rupiah นะ
-มีลุงโลคอลไกด์ 1 คน มิทราบอกว่าต้องใช้โลคอลไกด์ด้วย 1 กรุ๊ปต่อไกด์ 1 คน ราคา 50,000
-ตอนแรกเราก็ไม่อยากใช้ไกด์เท่าไร เพราะคิดว่าเดินเองไม่น่ายาก แต่มิทรายืนยันว่าต้องใช้นะ ก็ได้…
-อ่ะก็นั่งมอไซค์เข้าไป เพราะเดิน 5 กิโล. บายย
-มอไซค์จะส่งถึงทางเข้าต้องซื้อตั๋วอีก 11,000
-จากทางเข้าก็ต้องเดินเข้าป่าไปอีก กี่กิโลไม่รู้ แต่ลุงบอกแต่ว่า 1 กิโลๆโนพรอมแพลม
-ระหว่างทางจะมีห้องน้ำ 2 จุด ค่าใช้ 2,000
-และมีคนขายเสื้อกันฝนตลอดทาง
-ใครไม่ได้เอามาแวะซื้อได้นะ
-พอเดินไปถึงจุดสุดท้าย ก็มีม่านน้ำมาต้อนรับเราเลย จุดแรก เจอสายรุ้งด้วย ไม่แนะนำให้เดินเท้าเปล่านะ เพราะหินลื่นมาก อาจจะล้มได้
-น้ำตกจากรูด้านบนลงมาสูงมากๆ น้ำอาจจะไม่เยอะ แต่ถ้าไม่ใส่เสื้อกันฝนนี่เปียกแน่นอน
-เดินไปเรื่อยๆ จุดสุดท้ายคือ ต้องปีนหินเข้าไปถึงจะเจอบ่อน้ำและน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดและแรงที่สุด ส่วนด้านล่างบ่อก็ลึกมากครับ
-แค่ยืนรอบๆละอองน้ำก็กระเด็นมาเปียกได้แล้ว เพราะงั้นใส่เสื้อกันฝนไว้ดีกว่านะ
-มองๆดูน้ำตกสูงใหญ่เทียบกับตัวเราแล้วตัวเราช่างเล็กมากๆ แต่ผมชอบที่นี่มากนะ สวยดี เขียวๆน้ำเย็นๆ
-พวกเรามาวันธรรมดา คนจะน้อยมาก แทบจะมาแต่พวกเราเลย เพราะฉะนั้นแพลนมาวันธรรมดานะ เป็นน้ำตกส่วนตัวเลย
-ผมลงไปเล่นน้ำมาแป๊ปนึง ขากลับเลยไม่ได้ใส่เสื้อกันฝน โห หนาวมากกก รีบเดินกลับเลย
-ขากลับลุงไกด์มาเก็บค่าตัวบอกให้เรา 4 คนจ่ายคนละ 100,000 เฮ้ย! นี่มันโกงกันชัดๆ
-พวกผมปฏิเสธไป ขูดเลือดกันชัดๆ เลยบอกว่าเดี๋ยวไปจ่ายตรงทางเข้า แต่ลุงไม่ยอมเลยบอกว่างั้นคนละ 50,000 รวมเป็น 200,000 โห ลุงเล่นง่ายนะ เราก็บอกไม่จ่ายอีก จะยอมจ่ายแค่ 50,000 ทั้งกรุ๊ปพอนะ
-แต่ลุงก็ไม่ยอมท่าเดียว เลยพากันเดินออกมาตรงที่เก็บตั๋ว ลงเลยบอกว่างั้น 100,000 พอต่อยังกะซื้อของเลยนะลุง จนแล้วจนรอดผมเลยโทรหามิทรา บอกว่าลุงจะให้จ่ายเท่านี้ เลยยื่นโทรศัพท์ให้คุยกันเลยยอมจ่าย 50,000 จบนั่งมอไซค์กลับไปข้างนอก เห้อ เหนื่อยกับลุงนี่แหละ
-ออกจากน้ำตกแวะกินข้าว กินเกือบเสร็จแล้วลุงเจ้าของร้านมาคุยด้วย ถามๆเรื่องกล้อง แล้วก็บอกว่าลุงเป็นตากล้องเหมือนกัน เป็นงานอดิเรกนะ ลุงชอบตามเก็บรูปภูเขาไฟระเบิด
-พอได้ดูรูปลุงเท่านั้นแหละ โหห รูปแต่ละรูปโหดมาก ลาวา ดาวหาง ทีนี้คุยยาวเลย สรุปลุงนี่เป็นคนดังด้านรูปภูเขาไฟเลยนะ ว่างๆแวะไปกินข้าวร้านลุงได้ อร่อยด้วย แถมได้เทคนิคถ่ายรูปและได้คำแนะนำเรื่องจุดถ่ายรูปที่โบรโม่คืนนี้ กับคาวาอีเจี๊ยนพรุ่งนี้ด้วย
-คืนนี่ออกมาถ่ายดาวกันต่อที่จุดชมวิวสอง เลยโรงแรมไปอีกพอสมควร แถมต้องเดินขึ้นเขาชันๆอีกเล่นหอบเลย พักผ่อนก็น้อย นี่มาลำบากกันจัง ฮ่าๆ
-จุดชมวิวสองจะมีหลังคาคล้ายๆศาลาที่ทำจากปูนอยู่ ถ่ายได้ทั้งบนหลังคา หรือด้านล่าง ที่จะมีที่นั่งด้วย
-ลมที่นี่แรงมาก แถมหนาวด้วย
-รีบถ่ายรีบกลับ ตีหนึ่งเดินลงมา มิทราพากลับโรงแรม พรุ่งนี้ตื่นตี 4:30 ไปถ่ายรูปต่อ จะบ้าตาย
Day 6 : Mt.Bromo
-ตีสี่ครึ่งเตรียมตัวออกไปจุดชมวิว Kingkong Hills
-มิทรามาตรงเวลาเหมือนเดิม แต่พวกเรานี่สิตื่นจะไม่ไหวกัน
-ขับรถขึ้นไปทางเดิมของเมื่อวานแต่ไปไม่ถึงเพราะด้านบนมีเมฆมากปกคลุมจุดชมวิว อาจจะมองไม่เห็นข้างล่าง มิทราเลยจอดให้ตรงจอดด้านล่าง
-วันนี้สวยน้อยกว่าเมื่อวานนะ เพราะไม่มีหมอกปกคลุมด้านล่างเลย ทั้งที่เมื่อคืนตอนเราอยู่ Second View ยังมีหมอกเพียบ
-ตรงจุดนี้เราเจอ Toni ที่พาลูกทัวร์มาด้วย แกยิ้มใหญ่เลย ฮ่าๆ พวกเราเลยจัดกรุ๊ปฟี่กันซะหน่อย เอ้าาาา โรตีชีสสสสส
-หลังจากนั้นรีบลงไปปีนโบรโม่กันต่อ
-ลงมาด้านล่างบรรดา Horse men วิ่งตามมาตรงจุดจอดรถจี๊บกันใหญ่ ราคาขี่ม้าคือ 50,000 Rupiah ต่อเที่ยว แต่ถ้าคุณเดินไปครึ่งทางราคาก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ต่ำสุดที่เจอคือ 20,000
-ขาไปพวกเราเน้นเดิน ทรายตรงพื้นสีดำเทาๆ คือเขม่าภูเขาไฟ เวลาลมพัดมาทีนึงนี่ อือหืออ ฝุ่นเล็กๆ ติดกล้องติดตัวเพียบ
-เดินไปตามทางเรื่อยๆก็จะผ่าน บาต็อก ผ่านวัด แต่วัดไม่เปิดให้เข้า ต้องรอมีงานถึงจะเปิด
-ตอนเดินทางเรียบไม่เท่าไร พอเริ่มครึ่งทาง จะเป็นทางเทรกกิ้งละ ชันพอสมควร ตรงนี้แหละ หอบไปหลายรอบเลย
-ด้านบนก็จะมีมนุษย์ม้า จอดรอพวกเราที่ไม่อยากเดิน ขี่น้องม้ากลับ เราก็ผ่านขึ้นไปจะเจอขั้นโหดสุดท้าย คือบันไดขึ้นปากปล่อง
-ตรงนี้ต้องใช้รองเท้าที่เกาะหน่อยนะ ไม่งั้นได้ลื่นตกบันไดแน่ๆ
-เดินขึ้นบันได หอบไปสัก 10 รอบได้ เสื้อที่ใส่มาตอนนี้ถอดออกหมดแล้ว ร้อนสุดๆ
-ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เดินอยู่บนสถานที่ที่จัดว่าอันตรายที่หนึ่งในโลก ภูเขาไฟโบรโม่ ภูเขาไฟที่ยังแอคทีฟอยู่
-ตอนปี 2013 ผมเคยไปคุมาโมโต้ ที่เกาะคิวชู ญี่ปุ่น ตอนนั้นก็ขึ้นไปดูภูเขาไฟอะโซเหมือนกัน แต่ที่โน่นจะมี ระบบจัดการที่ดีกว่า ทั้งกระเช้าขึ้นลง ทั้งจอวงจรปิด เฮลิคอปเตอร์บินคอยรายงาน ว่าระดับการประทุ สารพิษตอนนี้เป็นยังไง น่าเสียดายตอนนั้นผมไปสารพิษกำมะถันอยู่ในระดับที่ขึ้นไปชมไม่ได้ เลยต้องผิดหวังกลับบ้าน
-แตกต่างกันที่โบรโม่จะทำเป็นธุรกิจ ด้านบนไม่มีใครดูแลเลยนอกจากคนขายดอกไม้สำหรับบูชาเทพเจ้า กับเหล่าคนเลี้ยงม้า และนักท่องเที่ยวอย่างเรา
-สุดทางบันไดด้านบนจะมีที่กั้น และรูปปั้นพระพิฆเนศสำหรับไหว้อยู่ แต่กั้นไว้นิดเดียว ไปอีกนิดก็เป็นปากปล่องทางเดินเล็กๆที่น่าหวาดเสียวมาก ผมเองก็กลัวความสูงอยู่แล้ว ก็เดินไปได้นิดเดียว ก็กลับแล้วครับ กลิ่นกำมะถันก็แรงมาก ลมยังแรงอีก พลาดนิดเดียวกลับบ้านเก่าแน่ๆ
-ใครใจกล้าแรงเยอะก็เดินวนรอบได้นะ 2 ชม. เห็นคนขายดอกไม้บอก
-วิวคงสวย+น่ากลัวไปในตัว
-ลงจากโบรโม่ผมใช้บริการน้องม้าสักหน่อย ม้าที่นี่ตัวไม่ใหญ่มาก ในใจก็คิดว่าทรมานสัตว์ไปมั้ย แต่อยากได้ภาพบนหลังม้า กับไม่เคยขี่เลยสักครั้ง ก็ขอลองสักหน่อย ขอโทษนะน้องม้า
-จบจากที่นี่ก็ไปต่อที่ทุ่งหญ้าซาวานา ด้านหลังของโบรโม่ที่แบบ มันเขียวมาก ดูเป็นคนละโลกกันเลย
-แต่จุดพักซาวาน่าจะเขียวไปหมด มีบริการม้าให้ขี่ขึ้นไปชมด้วยนะ แต่เรามาแวะแป๊ปเดียว
-จุดที่ชอบคือถัดมาอีกหน่อย ทุ่งหญ้าแห้งๆกับ ฉากหลังเขาเขียวๆ ถ่ายรูปสิครับรออะไร มันสวยมาก
-หมดนี่ครึ่งเช้าก็เกือบเที่ยง ต้องรีบกลับไปเช็คเอ้าท์ แล้วเตรียมไปคาวาอีเจี๊ยนกันต่อ
-ที่โรงแรมมีข้าวกล่องอาหารเช้าให้แขกที่ไม่ได้มากินด้วยนะ น่ารักดี
-ครึ่งหลังขับรถยาวๆ 5 ชั่วโมงไปพักโรงแรมที่คาวาอีเจี๊ยนต่อ
-ระหว่างทางไปอีเจี๊ยนจะผ่านทะเล พวกเราแวะกินข้าวเย็นก่อน มิทราพาไปร้านอาหารทะเล แถวนี้ราคาไม่แพงเลย อร่อยด้วย
-มุ่งตรงไปโรงแรมต่อ เราพักที่ Hotel Catimore เหมือนว่าแถวนี้จะมีโรงแรมเดียวนี่แหละ
-ถึงโรงแรมประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ รีบเก็บของเข้านอน พรุ่งนี้นัดกับมิทราตี 1 ไปดู Blue Fire กัน
Day 7 : Kawah Ijian
-มิทรามาปลุกตอนเกือบๆ ตี 1 ให้เก็บของจากโรงแรมไปเลย
-ได้ใช้โรงแรมแค่ 2-3 ชม. เองเสียดายมาช้าไปหน่อย
-มุ่งหน้าสู่คาวาอีเจี้ยน ไปดูเปลวไฟสีน้ำเงินกัน
-จากโรงแรมมาจุดสตาร์ทแรกใช้เวลาประมาณ 30 นาที ขับวนขึ้นเขามาเรื่อยๆ
-ถึงจุดเริ่มจะมีตรวจตั๋วเข้าด้วย ราคาตั๋ว 150,000 rupiah
-เริ่มสักที ทางเดินก็จะเป็นดินเรียบ ชื้นเล็กน้อย ถ้ารองเท้าไม่เกาะอาจจะลื่นได้ ทางค่อนข้างกว้างเดินสบาย แต่ชันมากก ขึ้นๆๆ อย่างเดียว
-มาตอนแรกอากาศจะหนาวหน่อย แต่เดินไปสักพัก ถอดทุกอย่างออกให้หมด มันร้อนมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องใส่มาเยอะนะ
-เริ่มเดินประมาณ ตี 1:50 ถึงด้านบนประมาณ ตี 3 ครึ่งกว่าๆ แล้วต้องเดินลงไปด้านล่างอีก
-ตอนเดินลงไปดู blue fire นี่แหละโหด เพราะเป็นทางหิน ต้องไต่ๆ หินลงไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็จะมีควันกำมะถันพวยพุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ
-หน้ากากกันแก๊สพิษจึงสำคัญมาก ซื้อดีๆไปเลย หรือยืมเอา และเอาแว่นกันมาด้วยนะ ผมใช้ของ 3M ตอนที่เข้าไปถ่าย blue fire ใกล้ๆ ถ้าไม่ได้สองอย่างนี่คงสำลักตาย เพราะมีควันพุ่งมาตลอด
-แต่ถ้าไม่อยากเอาไป ที่นี่จะมีคนให้เช่าอยู่ตามจุดต่างๆ ราคา 50,000
-เอาจริงๆ blue fire ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร แต่โอเคที่ได้มา
-ถ้าดูเสร็จให้ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีพอ แล้วต้องรีบเดินขึ้นมาถ่ายพระอาทิตย์ ผมอยู่กับไฟนานไปหน่อย เลยขึ้นมาไม่ทัน สว่างไปแล้ว
-รอบๆปากปล่องสามารถเดินได้ทั้ง 2 ฝั่ง ถ้าหันหน้าออกมาตอนเดินขึ้นคือ ทางซ้ายจะเป็นมุมเปิดสามารถมองเห็นทะเลสาปทั้งหมด มีบางจุดสามารถมองเห็นทะเลไกลๆ กับภูเขาไฟอีกลูกด้วย
-ถ่ายรูปกันตรงคนอื่นๆกลับเกือบหมด ก็รีบเดินกลับ ขากลับนี่แทบจะกลิ้งลงไปเลย ชันมากๆ
-แต่ทางค่อนข้างใหญ่ พอฟ้าสว่าง มองเห็นข้างทางก็แบบ เฮ้ยสวยดี มีภูเขารอบๆอีกหลายที่เลย ป่าก็เขียวมากๆ ชุ่มชื้นสุดๆ
-ลงมาถึงด้านล่างมิทราก็รออยู่แล้ว
-รีบเก็บของแล้วก็กลับกันเลย
-มิทรามาส่งพวกผมที่ท่าเรือก่อน
-บอกลามิทราและส่งเพื่อนอีกสองคนกลับไทยไปก่อน
-ที่ท่าเรือให้เดินไปทางซ้ายสุดจะมีทางเข้าลงไปซื้อตั๋ว ค่าตั๋วเรือคนละ 6,000 ต้องเขียนใบขึ้นเรือ มีชื่อ อายุ สัญชาติ
-ข้างหน้าจะมีนายหน้าขายตั๋วรถบัสอยู่ จะคอยถามว่าเราไปไหน แล้วก็ขายตั๋วเรา ผมไม่แน่ใจเส้นทางเลยเลือกทางเรือดีกว่า
-บนเรือจะมีน้ำ ข้าวขาย ข้าวราคา 7,000 ส่วนน้ำจะแพงหน่อย 17,000 แพงกว่าในมินิมาร์ทเยอะ
-นั่งเรือข้ามไปประมาณ 1 ชม
-ถึงท่าเรือก็มองหา taxi ให้ไปส่งที่ ubud ค่า taxi ปกติต้อง 600,000 แต่มีคนเสนอมา 700,000 ผมต่อเหลือ 560,000 ถึงไป
-นั่งรถจากท่าเรือ Gilimanuk ไป ubud ประมาณ 4 ชม. คือนานมากๆ นั่งหลับไปหลายตลบ
-ถึงโรงแรม Puji Bungalow ที่นี่เป็นซอยเล็กๆเข้าไป โรงแรมจะมีทั้ง hostel บ้านเป็นหลัง 2 ชั้น และมีสระว่ายน้ำด้วยนะ
-เราได้บ้านหลังสุด ชั้นล่าง หน้าบ้านมีทุ่งนาด้วย
-คืนนี้พักผ่อนก่อน เหนื่อยมาก ผมคิดว่าวาง Kawah Ijian ไว้วันท้ายสุดเนี่ยดีแล้ว เพราะเหนื่อยสุดเลย ไม่งั้นเอาโบรโม่ไว้วันแรก แล้วตามด้วยอีเจี้ยน วันหลังๆมาพักผ่อนที่บาหลีเนี่ยฟินเลยนะ
Day 8 : Bali again
-มาอินโดได้ 8 วันแล้ว
-กลับมาบาหลีอีกรอบเพื่อไปเกาะต่อ
-วันนี้คงไม่ไปไหนมาก ชิลๆในเมือง แล้วเก็บอะไรที่เราพลาดไปดีกว่า
-ออกมาเดินตลาดแต่เช้าตรู่ เพราะวันก่อนมาสายตลาดเก็บของหมดแล้ว
-ได้เนื้อสะเต๊ะข้างล่างตลาด 5 ไม้ 10,000 กับขนมพื้นบ้าน เป็นข้าวเหนียวหลายๆแบบ ราดมะพร้าวกับน้ำเชื่อมหวานๆ 5,000 โอเคเลยนะ
-ในตลาดช่วงเช้าๆหน่อย เราจะเห็นชาวบ้านมาซื้อของกันเยอะมากๆ แต่สายๆหลัง 8 โมงตลาดจะเริ่มวาย เริ่มเปลี่ยนเป็นพวกของที่ระลึก เสื้อยืดแทน
-สายๆหน่อยแวะมาดื่มกาแฟร้าน coffee and co อยู่ตรงถนน Monkey Forest เดินเลยตลาดเช้าเข้าไปหน่อย ร้านนี้จะมีชื่อเสียงเรื่องกาแฟขี้ชะมด มีเมล็ดขายด้วยนะ
-ไม่รอช้าผมสั่ง Coffee Luwak (กาแฟขี้ชะมด) มาลองเลย ราคา 110,000 แพงนิดๆ บวก tax 10% แล้วเป็น 121,000 ก็โอเคถือว่าได้มาลองแล้ว
-รสชาติกาแฟเป็นรสชาติผลไม้หน่อยๆ เข้ม+เปรี้ยว ดื่มแล้วอร่อยเลย เสริฟ์พร้อมกับคุ้กกี้ 2 ชิ้นแก้เลี่ยน ถ้าคอกาแฟแนะนำมาชิมร้านนี้นะ
-เดี๋ยวบ่ายนี้แว๊นซ์มอไซค์ไป Kuta Beach ต่อแล้วจบที่ Uluwatu
-จาก Ubud มา Kuta beach ระยะทาง 25 kg ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า
-ขี่มอไซค์ที่นี่ไม่ยาก แต่ที่ลำบากคือถนนสวนกันแล้วแคบมีแค่สองเลนนี่แหละ
-แถวๆ Kuta มีร้านค้าเยอะมาก ร้านดีๆทั้งนั้น พวก billabong, rip curl, quicksilver ลดราคากระหน่ำ 50-90% เลยทีเดียว (ที่ผมเห็นป้ายนะ)
-โรงแรม ร้านอาหาร แถวนี้ก็เยอะนะ hard rock ก็มี
-พอถึงแถวๆ beach เจอน้องคนไทยกรุ๊ปเดิมเลย มาเดินเล่น ไม่น่าเชื่อ โลกมันกลมสินะ
-เอารถจอดตรงที่ให้จอดหน้าหาด ค่าจอด 2000 จ่ายตอนมาเอารถ
-ชายหาดที่นี่น้ำสีสวยดี ออกเขียวหน่อยๆ แต่ช่วงที่ผมมาไม่มีแดดเท่าไร เสียใจจัง
-จะเห็นคนมาเล่นเซิร์ฟกันเยอะมาก ตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆเลย มีอาจารย์สอนด้วยนะ ค่าสอนและยืมเซิร์ฟบอร์ด 1 ชม. 150,000 ถ้าเอาแต่บอร์ด 50,000 ถูกมากๆ ถ้าใครชอบแนวนี้ต้องมาเลย เพราะคลื่นก็ดูไม่น่ากลัวและสูงด้วย
-ต้องรีบไป Uluwatu กันต่อเพราะเย็นมากแล้ว จาก Kuta beach ขี่รถไปอีก 1 ชม. ประมาณ 20 กว่าโล
-ทางไปวัดจะเป็นทางขึ้นเขาจะเห็นเมืองด้วยนะเวลาลงมา ทางค่อนข้างชัน
-ถึงวัดเสียค่าจอดมอไซค์ 1,000 และค่าเข้าอีก 30,000 มีโสร่งให้ใส่ด้านหน้า
-ในวัดจะมีการแสดงอยู่ตอนผมไปเป็นรอบสุดท้ายพอดี วัดสามารถเดินไปดูจุดแลนด์มาร์คได้ทั้งทางขวาทางซ้าย
-ทางซ้ายเนี่ย จะมีลิงเจ้าถิ่นอยู่ มันมีเยอะมาก และนิสัยแย่มากด้วย ชอบขโมยของ ผมมีตุ๊กตาเป็ดสีเขียวคีบจากตู้ที่ญี่ปุ่นมาห้อยไว้ ผมเดินหันหลังจะย้อนออกไปแป๊ปเดียว ลิงมันมากระโดดแล้วกระชากไปเลย แล้วเอาไปฉีกเป็นชิ้นๆ โหดมาก
-เพราะพวกลิงทำให้ถ่ายรูปได้ไม่นาน เอาไม้ไล่ก็ไม่ไป ใครไปก็ระวังๆหน่อยนะครับ
-ออกจากวัดแว๊นซ์กลับ ubud ยาวๆ 54 กิโล โอ้โห เหนื่อยมากฮะ
Day 9 : Nusa Lembongan
-ลาก่อนบาหลี –ลาจริงๆ
-ผมชอบมากนะเมืองบาหลีเนี่ย สมกับเป็น world destination ของนักท่องเที่ยว เดินเล่น ไปนู่นนี่ได้ไม่เบื่อเลย อยากจะมาอีกพาคนข้างๆมาเดินเล่นบ้าง
-ผมติดต่อรถ shuttle bus + speed boat ไปเกาะ Nusa Lembongan จากโรงแรมเลย คนละ 250,000 ใช้เวลาเดินทางจาก ubud ประมาณ 4 ชม. ถ้าเป็น regular boat จะคนละ 150,000 ใช้เวลา 5 ชม.
-รถมาส่งแถวๆโรงแรม แล้วเดินทะลุมาชายหาด จะมีบริษัทเรือเต็มไปหมด บริษัทที่เราขึ้นมาชื่อ Marine
-จากโรงแรมออกมารับคนเริ่ม 10:45 มาถึงชายหาด 12:15 แล้วไปเรือรอบ 13:00 เอาตั๋วที่ซื้อที่โรงแรมมาแลกสติ๊กเกอร์ คนเรือจะถามว่าอยู่โรงแรมไหน พอถึงเกาะแล้วเค้าจะไปส่งโรงแรม
-นั่งเรือ speed boat คันใหญ่สะเทิ้นน้ำ สะเทิ้นคลื่นมาเรื่อยๆ คลื่นแรงแต่ไม่มากเท่าไร พอไหวๆ นั่งมาถึง mushroom beach ประมาณ 14:00
-ต่อรถมาที่โรงแรมประมาณ 5 นาทีเอง ใกล้มาก
-เราจองโรงแรม Lotus Garden Huts สองคืน จากโรงแรมสามารถเดินไปชายหาดได้เลย
-น้ำทะเลใสมาก แต่ก็ลึกมากเช่นกัน และคลื่นใหญ่มากก ดูดลงทะเลหายไปเลย เพราะงั้นเล่นน้ำก็ต้องระวังๆนะคับ
-วันนี้ไม่ได้ไปไหนไกล เดินเรียบตามหาดเห็ด (Mushroom Beach) ตามหาดจะมีร้านค้าเต็มไปหมด โรงแรมด้วย ราคาก็มาตรฐานไม่ได้ชาร์จแพงเวอร์ พอกินได้ฮะ
-กิจกรรมที่เกาะนี้ที่เด็ดที่สุดคือ ว่ายน้ำไปดู Manta หรือปลากระเบน ซึ่งมีทัวร์จัดรออยู่แล้ว ส่วนพวกผมเวลาน่าจะไม่พอ เพราะอยู่ที่นี่อีก 1 วัน ก็ต้องไปต่อ กะว่าไปหาถ่ายรูป landscape สวยๆดีกว่า
Day 10 : Nusa Lombegan
-โปรแกรมวันนี้ขี่มอไซค์ทัวร์ และข้ามเกาะไป Nusa Ceningan
-เราเช่ามอไซค์ที่โรงแรม วันละ 70,000 rupiah
-เช้าๆแว๊นซ์ไป Devil’s Tear ก่อนเลย ไม่ไกลจากโรงแรมมาก ประมาณ 10 นาทีก็ถึง แต่ผมมัวไปเชื่อ google maps ซึ่งพามาจอดแล้วเดินเข้าป่าลัดไปทะลุถนนอีกด้าน ทำให้ต้องเดินวนออกมาเอารถย้อนไปอีกทาง
-ใกล้ๆ Devil’s Tear คือ sunset beach. น้ำทะเล คลื่นแรงเหมือนเดิม แต่น้ำก็ใส เป็นสีฟ้าสวยมาก โชคดีที่วันนี้มีแดด
-ตรง devil’s tear จะมีที่จอดรถด้านบน แล้วเดินทะลุลงไปตรงหน้าผา ดูน้ำทะเล พัดมากระแทกกับหน้าผาแล้วกระเด็นขึ้นมา
-ตรงจุดที่ใหญ่สุดจะเป็นแอ่งที่ใหญ่สุดเวลาน้ำกระเด็นมาจะมองเห็นสายรุ้งเกือบครึ่งวง สวยมากๆ
-จาก devil’s tear จะใกล้ๆกับ dream beach จะเดินหรือขี่มอไซค์ก็ได้
-ชายหาดที่นี่จะเป็นหาดเล็กๆ ที่ส่วนใหญ่จะติดกับโรงแรม dream beach น้ำดูเบา น่าเล่นมากๆ แต่คิดว่าลึกพอสมควร
-บนเกาะส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารแบบขายคนต่างชาติ จะแพงนิดนึง แต่ร้านทั่วๆไปก็มีแบบคนโลคอลกิน ให้หาร้านที่ขาย Warung หรือ Satey Ayam คือไก่สะเต๊ะ อร่อยมากๆ ราคาประมาณ 20,000
-ได้เวลาข้ามเกาะ
-เกาะ Nusa Lembongan กับ เกาะ Nusa Ceningan จะมีสะพานแขวนสีเหลือง Yellow Bridge อยู่ซึ่งรถมอไซค์กับคนผ่านได้เท่านั้น เพราะมันแคบมาก
-เราข้ามมาที่เกาะนี้เพื่อมาดู คนกระโดดน้ำ ที่ Blue Lagoon
-หาไม่เจอ ที่กระโดดน้ำ แล้วดูน้ำก็แรงมากๆด้วย คือสวยไว้ถ่ายรูปโอเคเลยนะ แต่ให้โดดก็ไม่ไหว เห็นมีสองจุดจาก blue lagoon ซ้ายและขวา มี Oreo Jump กับ Cliffs Jump วันที่ผมไปก็ไม่มีใครกระโดดนะ
-ต่อจาก blue lagoon ก็ไป secret beach
-อันนี้ไม่ต้องไปก็ได้ เพราะอยู่ในโรงแรมเลย ถ้าลงไปต้องสั่งน้ำไม่ต่ำกว่า 30K แต่ถ้าจะอาบน้ำหรือเล่นสระว่ายน้ำต้องซื้อของ ไม่ต่ำกว่า 100K
-ผมก็เลยกลับโรงแรม เพื่อไปหาจองตั๋วเรือไป Gili ต่อ
-ได้ราคาตั๋วมา 400,000. Rupiahs ไปอย่างเดียวส่งถึงโรงแรม ผมนอนที่ Gili Meno 1 คืน
-ไหนๆวันนี้ไปไหนไม่ทันเลย หาเบียร์ดื่มร้านเดิม ร้าน Mola Mola เบียร์เค้าเด็ดจริงเพราะเย็นมากก เกือบจะเป็นวุ้นเลย
-เกาะนี้คือชิลมากๆ เงียบมากๆด้วย เหมาะสำหรับคนไม่ชอบพลุกพล่าน ส่วนตัวผมก็ชอบนะ ไว้มาใหม่
Day 11 : Gili Meno
-เช้านี้ต้องย้ายเกาะแล้ว เมื่อวานบุ๊คตั๋วเรือร้านลุงข้างๆ มินิมาร์ทไว้ ลุงบอก 10 โมง รถจะมารับที่โรงแรม
-จัดแจงกินข้าวเช้าเก็บของ
-10:00Am ไม่มีวี่แววของรถที่จะมารับ
-10:30Am เงียบกริป
-เริ่มแปลกๆ เลยยืมมอไซค์โรงแรมขี่ไปถามลุง
-ลุงบอกว่ารถมารับแล้วไปรอโรงแรมเลย เอ้าขี่รถกลับต่อ
-ระหว่างไปหาลุงมีเด็กฝรั่ง 2 คนมาขอ Hi5 พอทำเสร็จเด็กๆบอก Yeah! We did it เท่ดี
-11:00Am เงียบ
-ไหนลุงว่าเรือมีรอบเดียวคือ 10:30 นี่อัลไล 11:00 ยังไม่ได้ไปไหน
-ขี่ไปถามลุงอีกรอบ ลุงบอกว่าเดวลุงจะไปดักหน้าซอยเข้าโรงแรม ให้ผมไปรอที่โรงแรมเลย รถมาแล้ว
-ผมรอที่โรงแรม อีกแป๊ปมีคนมาถาม ว่าใช่มั้ย ผมเอาตั๋วให้ดูก็ งง งง แต่ก็ไปเลยๆไปๆ เดวตกเรือ
-รถขับมาแถวๆ Yellow Bridge เอเจนซี่ชื่อ Eka Jaya จริงๆมาจองตั๋วที่นี่น่าจะถูกกว่า
-เรือจะมี 3 รอบ 8:30, 10:30, 12:30 เลือกเอาตามสะดวก
-ต้องขึ้นเรือเล็กๆไปก่อน แถวๆตรงจุดน้ำลึก จะมีเรือใหญ่จอดอยู่ มีดาดฟ้าเรือ มีเปิดเพลง นอนอาบแดด แต่ข้างล่างนั่งสบายแอร์เย็นนะ
-บนเรือมีขายเบียร์ด้วย ถ้าอยากเมาก็จัดเลย
-จอดแวะจุดแรกจะมีคนมาขายผลไม้ด้วยนะ 20,000
-คนเรือบอกถ้าอากาศดีเราจะถึงเกาะประมาณ บ่ายสอง ใช้เวลาเดินทาง 1:30-2:00 ชั่วโมง
-ไม่มีเรือไป Gili Meno ต้องลงที่ Gili T แล้วต่อเรือไปประมาณ 35,000
-เรือจะจอดหลายๆเกาะ เริ่มไปจอดที่บาหลี ต่อด้วย ลอมบก แล้วจอดที่ Gili Air สุดท้ายจอดที่ Gili T
-ถึง Gili T บ่ายสาม ไปซื้อตั๋วเรือด้านบนจะมีที่ขายอยู่ไม่ต้องสนใจนายหน้ามาขาย ผมเจอเรียกไป 250,000 แต่ผมไม่เอา ขึ้นไปถามด้านบนได้ราคา 35,000 มีวันละ 2 รอบ. รอบเช้า 9:30 รอบบ่าย 4 โมง
-ซื้อตั๋วเรือทันที รอเรียกตอนสี่โมง
-เรือจะเป็นเรือแบบชาวบ้านหน่อย นั่งไปประมาณ 15 นาทีก็ถึง
-ผมพักที่ Gili Smile Cottage คืนละ 500 กว่าบาท เดินจากท่าเรือไปนิดเดียว
-อารมณ์เกาะนี้จะเงียบๆนะฮะ ไม่ค่อยมีอะไร สงบ แบบชาวบ้านๆหน่อย แต่น้ำใส สีสวย หาดทรายนุ่ม และมีทะเลสาปบนเกาะด้วย
-นอนที่นี่ 1 คืนเพื่อถ่ายแสงเช้า+แสงเย็น
-พรุ่งนี้ไปเกาะ Gili T ต่อ เรือรอบเช้า 8:50
-มีรอบ 10:00 โมง ราคา 50,000 ด้วยนะ สงสัยรอบพิเศษ
-ราคาอาหารก็ไม่แพงมาก ราคาพอๆกันกับบาหลี สบายใจได้
-คืนนี้มีบอลคู่อังกฤษ-เวลส์ ผมเลยออกมานั่งดูที่ร้านข้าว มีชาวต่างชาติมาเชียร์เพียบเลย เปิดจอใหญ่ด้วย
-สรุปอังกฤษชนะไป 2-1 สเตอร์ริดจ์ยิงท้ายเกมส์
Day 12 : Gili T
-เมื่อวานฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกสวยมาก
-วันนี้ฟ้าตอนพระอาทิตย์ขึ้นก็สวย
-ผมตื่นเช้ามาบรรยากาศบนเกาะแถวๆท่าเรือ เงียบสุดๆ แทบไม่มีคนเลย
-เกาะนี้เหมาะกับคนต้องการความสงบจริงๆ น่ำสีฟ้าๆ ทรายสีขาว ฟ้าใสๆ บนเกาะเงียบๆ ฟินกันไปเลย Gili Meno ไม่ใช่ นีโม นะฮะ
-วันนี้นั่งเรือกลับ Gili T ต่อตอน 8:50
-ค่าตั๋วเรือเท่ากับขามา 35,000 rupiah
-ใช้เวลา 15 นาทีเหมือนเดิม ถึงเกาะสวรรค์ Gili Trawangan ชีวิตกลับมามีสีสันละ
-เกาะนี้คึกคักสุด สิ่งอำนวยความสะดวกเยอะ แล้วดูเหมือนน้ำทะเลจะสวยสุดนะ คลื่นที่นี่เบาสุดด้วย
-เรามาถึงเกาะเช้ามาก เดินไปโรงแรมไม่ไกลจากอ่าว ถึง รร ก่อน 10 โมงอีก เช็คอินได้เที่ยง ก็นั่งรอไปสิ
-โรงแรมที่พักสองคืนที่นี่ชื่อ Madison Gili เป็นบ้านทรงอินโดสไตล์ ห้องใหญ่มาก มีสระว่ายน้ำด้วย โอเคเลย คืนละประมาณ 1,500
-วันนี้เพื่อนผมที่มาด้วยอาการแย่มาก ป่วยจนไปไหนไม่ไหวละ ผมเลยเอายาให้แล้วให้พักผ่อน ส่วนผมวันนี้ลุยเดี่ยวสินะ
-ตกบ่ายๆ ออกไปลองนั่งริมทะเลดูสาวๆนุ่งบิกินี่ หนุ่มๆอวดซิกส์แพ๊ค แล้วลงไปเล่นน้ำบ้าง
-ริมๆหาดน้ำใสมาก สีจะออกฟ้าๆหน่อยตรงนั้นแสดงว่าตื้น พอยืนได้ แต่ตรงไหนน้ำเงินเข้มแสดงว่าลึก ต้องระวังนะฮะ
-ถ้าใครไม่ชัวร์จะเช่าตีนกบ กับแว่น และเสื้อชูชีพก็ได้ ราคา 35,000 ถือว่าถูกมากก
-ส่วนใหญ่สาวๆฝรั่งจะถือเบียร์มา ปูผ้าบนทราย ทาครีมกันแดด ลงไปแช่น้ำแป๊ปนึง แล้วขึ้นมานอนอาบแดดต่อ ชีวิตช่างชิลดีจริงๆ
-ผมเล่นน้ำคนเดียวได้แป๊ปนึงก็ขึ้นละ ก็เล่นคนเดียวไม่สนุกนี่นา ถ้าจะมามากับเพื่อนหลายๆคน หรือแฟนนี่จะโอเคมาก
-กลับมาห้องอาบน้ำเสร็จเผลอหลับไปเลย ตื่นมาอีกทีค่ำแล้ว เลยชวนเพื่อนไปกินข้าวฮะ
-เจอร้านนึงริมหาด คนเยอะมากๆ ตอนแรกก็สงสัยทำไมคนเยอะ พอรู้ว่าสลัดกับซุปฟรี อ่อๆๆๆ ฝรั่งชอบของฟรี
-ร้านชื่อ Ocean 2 นะครับ ผมลองอาหารโลคอล ไม่เท่าไร แต่คิดว่าอาหารฝรั่งน่าจะโอเคนะ
-วันนี้มีบอลอีกแล้ว อิตาลี x สวีเดน เลยยืนดูที่บาร์แถวๆนั้น คนเต็มร้านเลย คืนนี้ผมเชียร์อิตาลี ปรากฎว่าชนะด้วย 1-0 คนเฮลั่นร้านเลย สนุกดี
-ชีวิตไนท์ไลฟ์ยนเกาะนี้ดูคึกคัก สนุกสนานดีนะ เพราะนักท่องเที่ยวจะเป็นแนววัยรุ่นหน่อยๆ คนอายุมากๆผมเห็นน้อยมาก คนไทยนี่แทบไม่เจอเลยฮะ นี่สิเหมาะกับเราจริงๆ
-อ้อ มาเกาะนี้อย่าลืมมาลอง Vodka Joss นะฮะเค้าว่าเป็นของเด็ดเลย ดื่ม vodka กับผมเติมพลัง น่าจะอารมณ์ประมาณกระทิงแดงอะไรแลบนั้นนะ เห็นส่วนใหญ่ฝรั่งกินกันทุกคนเลย
Day 13 : Gili Trawangan
-หลังจากเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะหลับก็เกือบตีสาม
-เช้านี้เลยไม่ตื่นไปถ่าย sunrise เลย
-ตื่นมาก็จัดอาหารเช้าโรงแรมก่อนเลย ได้ข้าวผัดมังสวิรัติมาช่วย รสชาติพอได้
-กินเสร็จดูเวลาตายละ เกือบ 10:30 ละ ต้องไปทัวร์ดำน้ำ
-ถามโรงแรม เด็กบอกไม่ทันละ ให้ยูไปหาเอาหน้าหาด
-เดินไปหน้าหาดเจอร้านนึงเข้าไปถาม ลุงปั่นจักรยานนำไปที่ร้านเลย บอก เฮอรี่ๆ เรือจะออกละ
-ไปถึงจ่ายเงิน 100,000 โอเค เลือกว่าจะเอา หน้ากาก+ตีนกบ หรือ. หน้ากาก+เสื้อชูชีพ ผมเลือก… เสื้อชูชีพสิฮะ
-ทั้งเรือมีเอเชียอยู่คนเดียว ใส่ชูชีพคนเดียวอีก =_=
-นั่งเรือประมงออก 10:40 ได้ ส่วนใหญ่สมาชิกบนเรือเป็นสาวๆวัยรุ่นฝรั่ง มีผู้ชายซัก 4-5 คน
-จุดแรกเป็น Blue Coral ก่อน น้ำไม่ลึกเท่าไร ใสมาก โอเค ว่ายเล่นๆสนุกสนาน เจอเต่าน้อยด้วย
-จุดที่สอง Turtle point จุดนี้ลึกหน่อย เจอเต่าตัวใหญ่ด้วย ไม่แน่ใจวีดีโอจะติดมาหรือเปล่า เพราะคนรุมเยอะมากก อาจจะติดแต่ขาคนมา ตรงนี้ปะการังสวยดี
-แล้วเรือแวะเกาะ Gili Air เกาะนี้จะมีบาร์ ร้านอาหาร คล้ายเกาะ Gili Trawangan แต่น้อยกว่า แล้วเกาะเล็กกว่า น้ำใสน้อยสุดเลย Gili Meno. ใสกว่านะ
-กินข้าว กินน้ำ พักประมาณ 1 ชม. ก็ไปต่อ
-จุดสุดท้ายเป็นจุดที่มีปลาเยอะ เค้าจะเอาขนมปังมาล่อ ซึ่งก็ไม่ดีนะ ล่อเพื่อให้ปลามากิน เสียระบบนิเวศน์หมด
-สามโมงก็มาถึงเกาะหลักจุดที่เราขึ้นเรือ คืนของแยกย้าย
-กลับห้องมาอาบน้ำก่อน เพื่อนที่ป่วยเมื่อวานอาการเริ่มดีขึ้น เลยชวนไปถ่ายพระอาทิตย์ตกอีกฟากของเกาะ
-เดินจากโรงแรมประมาณครึ่งชั่วโมง 2 กิโลกว่าๆ จะถึงจุดดูพระอาทิตย์ตก น้ำฝั่งนี้ใสดี น้ำตื้นด้วย ตอนมาตอนเย็นนี่น้ำลดละ มองเห็นเดินไปได้ไกลๆเลย
-ตรงนี้จะมีร้านอาหารอยู่เป็นของโรงแรม Hotel Ombak จุดแลนด์มาร์คคือ มีชิงช้าอยู่กลางทะเล ใกล้ๆหาดเลย ให้ถ่ายรูปฟรีนะ ไม่ต้องห่วง
-ขากลับเดินกลับโรงแรมทางกลับมืดมากกก ต้องเดินผ่านทุ่งหญ้า ทางดิน ลัดเลาะบ้านคน ถ้ามาจริงๆเช่าจักรยานขับผ่านเส้นหลักโอเคกว่านะ
-กลับมาวันนี้หาข้าวกินตรงโซนร้านอาหารโลคอล ข้าวแกงนั่นแหละฮะ ก็จิ้มๆว่าเอาอะไรใส่ข้าวบ้าง ได้มา 5 อย่าง 40,000 รสชาติธรรมดา น่าจะไว้ขายฝรั่ง
-วันนี้กลับบ้านนอน รอข้ามเกาะพรุ่งนี้เช้า
Day 14 : Lombok
-ข้ามเกาะอีกแล้ว
-ที่โรงแรมให้เช็คเอ้าท์ตอน 10 โมง
-ตอนเช้าออกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าหาดก่อน เจอเรือคนงานขนของกันใหญ่เลย เราเลยสนใจเข้าไปถ่ายรูป ผู้หญิงจะมีผ้าอยู่บนหัวแล้วเอาของแบกวางบนหัวเดินไปรับจากเรือแล้วเอามาไว้บนหาด
-ถ่ายรูปเสร็จกินข้าว เก็บของ ก็เช็คเอ้าท์ เดินมาที่จุดขายตั๋วเรือข้ามไปเกาะลอมบอก
-ค่าเรือคนละ 15,000 เป็น public boat ไม่มีเวลาออกที่แน่นอน รู้แต่รอบแรก 7:00 โมงเช้า รอบสุดท้าย 5 โมงเย็น
-เรือจะเป็นเรือชาวบ้านหน่อย อาจไม่สะดวกสบาย ถ้าอยากสบายมี speed boat ด้วยนะ 500,000 rupiah
-นั่งรอสักพัก จะมีประกาศเรียกใครที่จะไป Bangsal ลอมบอก ก็ให้รีบไปขึ้นเรือ จะมีคนเก็บตั๋วข้างหน้าเรือ
-บนเรือคนค่อนข้างแน่น บางคนเอากระเป๋าใหญ่มาเลย ก็เต็มทางเดินแล้ว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีก็ถึงท่าเรือ
-พอถึงท่าเรือจะมีคนขับ taxi มารุมเราเต็มไปหมด จริงๆมีป้ายเขียนไว้ว่าไปที่ไหนราคาเท่าไรนะ แต่เอาเข้าจริงก็แพงไปเลยต่อราคาเอา
-เราจะไป Kuta Lombok บนป้ายเขียนไว้ 400,000 แตาเราต่อได้ 300,000 สองคน
-ระยะทางจากท่าเรือ Bangsal ไป Kuta Lombok 73 กิโล ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.
-คุณลุงที่เป็นคนขับ Taxi จะชิลมาก ตอนทางขึ้นเขาจะผ่านลิงเยอะๆ ลุงแกจอดดดดด แล้วไปหยิบขนมหลังรถมาโยนให้ลิง ที่นี้เพียบเลย
-ลุงแกอารมณ์ดีจากไหนมาไม่รู้ เปิดเพลงแขกดังๆ เปิดกระจก ขับรถไปก็ออกท่าทางไป ผมนี่ปวดหัวเลย
-ลุงมาส่งถึงหน้าโรงแรม เราก็เช็คอินเสร็จก็พักผ่อนสักแป๊ปก็หาข้าวกิน
-มาเจอร้านข้าวแกงหน้าโรงแรม เค้าจะมีตู้ให้เลือกกับข้าว พวกไก่ทอด เนื้อ ผัก น้ำพริก ราคาไม่แพง รสชาติพอได้นะ แต่ที่ชอบสุดคือน้ำชาแอปเปิ้ลโซดา
-โรงแรมที่พักชื่อ Pantai South Lombok villas มีอยู่ 4 ห้อง มีสระว่ายน้ำด้วยนะ ฮ่าๆ คืนละ 450,000
-บ่ายแก่ๆก็ออกไปริมหาด Kuta ทรายที่นี่จะเป็นเม็ดกลมๆ ร่วนๆหน่อย ไม่นุ่มเท่า Gili แต่น้ำทะเลใสและตื่นมาก เห็นคนเดินไปตกปลาไกลเลย
-กิจกรรมที่นี่ที่เห็นคือ ขี่ม้า เล่น Surf อาบแดด และกินน้ำมะพร้าว
-ที่ไม่ค่อยชอบคือ ที่นี่จะมีเด็กเอาสร้อยข้อมือมาขาย มีหลายคนเลย ถ้าใครอยากอุดหนุนก็จัดได้ฮะ
-ช่วงค่ำๆมีพี่ๆในเครื่องแบบเดินมาทักทาย ถ่ายรูปพวกเราด้วยนะ แล้วก็คุยกันนิดหน่อย
-เสร็จแล้วกลับโรงแรมเดินไกลพอสมควร ประมาณ 10 นาที
-ตอนเย็นก็กินข้าวร้านเดิม รีบนอนรอ taxi ตีสี่
-ที่นี่ละหมาดกันดึกมากๆ เสียงสวดดังทั้งคืนเลย แถมห้องนอนอยู่ติดถนนอีก นอนแทบไม่หลับ
Day 15 : Yogyakarta
-ตื่นตีสามมานั่งรอ Taxi
-ลุง Taxi มารับตรงเวลาเป๊ะ ใช้เวลานั่งไปสนามบินประมาณ 30 นาที
-จัดการเช็คอินเสร็จสรรพ รอขึ้นเครื่อง บายบาย ลอมบอก ไว้มาใหม่นะ รอบหน้าจะไปรินจานี่ โคโมโด
-คนอินโดชอบนั่งผิดที่ ผมจองริมหน้าต่างมา ลุงมาเถียงบอกว่า A นั่งข้างนอก แหม่ =_=
-นั่งเครื่องข้ามมา Central Java เวลาเปลี่ยนมาเท่ากับไทยละ ช้าไป 1 ชม. จากบาหลี ลอมบอก
-ออกจากสนามบินฝ่าฝูงชน Taxi Driver ที่คอยเรียกพวกเราทุกภาษา แต่เรารู้มาว่าเดินตามป้ายรถบัสมา จะเจอสถานีป้ายรถเมลล์ ที่ราคาแค่ 3,500
-ขึ้นไปก็จ่ายเงินตรงทางเข้าแล้วเค้าจะให้การ์ดมา หยอดเข้าไปเหมือน Bts แต่ไม่คืนการ์ดนะ รอรถมา เราพักโรงแรม POP Hotel แถวๆย่านเจริญ ย่าน Malioboro
-นั่งเข้ามาในเมืองกระเป๋ารถจะบอกว่าถึงไหนละ พอประกาศ Malioboro เราก็ลง แล้วเดินไปโรงแรม ไม่ไกลจากป้ายเท่าไร
-มาถึงเช้าเกินไป 8 โมง โรงแรมให้เช็คอินได้ 14:00 ก็ฝากกระเป๋าไว้ก่อน
-ออกมาเดินเล่นแถวๆถนน Malioboro แถวนี้คล้ายไนท์บาซาร์ มีของขายเต็มไปหมด ผ้าบาติก ถ้าใครจะหาของฝากก็น่าจะมีนะ
-ส่วนใหญ่บนถนนจะมีรถม้าไว้คอยรับจ้างนักท่องเที่ยวที่อยากสบาย หรือจะนั่งสามล้อก็ได้นะ ผมไม่ได้ลองเลยไม่รู้ราคา
-แอพ Starwalks แจ้งเตือนในมือถือมาว่าวันนี้เป็นวันที่กลางวันนานที่สุด
-บ่ายโมงกว่าๆโรงแรมก็ให้เข้าห้องได้แล้ว เย้ จะได้เอาของเก็บสักที เตรียมตัวไปต่อ
-พวกผมเช่ารถจากแถวๆโรงแรม ได้ร้านที่ให้เช่า 24 ชม. 60,000 rp ต้องวาง passport กับเติมน้ำมันให้เท่าเดิมด้วย
-เช่ารถเสร็จก็แว๊นซ์ไปจองตั๋วรถไฟก่อน
-สถานีรถไฟอยู่แถวๆหน้าปากซอยโรงแรม
-เอารถจอดตรงข้างถนนทางเข้าสถานี เจอมาเฟียอินโดโบกให้จอด แถวนี้นี่อย่าไปเชื่อใครนะครับ ตอนออกมาคิดว่าไม่มีอะไร มาเก็บค่าจอดเฉยเลย บอกว่า 2,000 แต่ผมมีแค่ 1,000 เลยให้ไปแค่นั้น
-ในสถานีขายตั๋วจะมีตู้ขายตั๋วอัตโนมัติอยู่ กับช่อง Customer service ผมลองเข้าไปถามเค้าก็ช่วยจองตั๋วให้ ภาษาอังกฤษก็พอได้นะ
-ค่ารถไฟจะมีหลายราคา แตกต่างกันนิดหน่อย
-ยอกยาไปสุราบายา ค่าตั๋ว 255,000 rp
-ด้วยความผิดพลาด ผมจองผิดจากที่ต้องนั่งไปวันที่ 22 ตอนตี 3 กลายเป็นจอง 21 ตอนตี 3
-จ่ายเงินไปเรียบร้อยเลยต้องบอกเค้าขอเปลี่ยนรอบโดนค่าชาร์จไป 25% ประมาณ 65,000 rp. เซงเลย รีบไปหน่อย
-รถไฟจะไปถึงสุราบายาตอน 8 โมงกว่าๆ ผมบินกลับบ้านประมาณ 11 โมง น่าจะทันนะ
-จองตั๋วเสร็จเรียบร้อยก็รีบไปบุโรพุทโธเลย จากในเมืองขี่รถไปประมาณ 50 นาที
-ถนนที่นี่คล้ายๆเมืองไทยฮะ เป็นหลุม ปะๆ เหมือนกัน ถนนไม่เรียบ ขี่ลำบากมาก ตอนกลางคืนไฟข้างทางก็น้อยอีก
-แต่ถนนที่ยอกยาน่าจะดีกว่าทุกที่ที่ไปมาละนะ เพราะดูแล้วกว้างสุด บางทีเป็นวันเวย์สี่เลน ต่างกับบาหลีที่มีเลนเดียวสวนทางกัน
-ถึงบุโรพุทโธระยะทางประมาณ 27 กิโล หน้าประตูจะมีรั้วกั้นต้องเอารถจอดไว้ข้างนอก แต่ผมมาถึงก็เย็นแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงก็ปิดแล้ว เลยไปเข้าอีกช่องทางพิเศษ คือที่โรงแรม Manohara
-ราคา Sunset / Sunrise คือ 400,000 ต่อรอบนะครับ ต้องซื้อวันต่อวัน จะได้อภิสิทธิ์พิเศษคือเดินใกล้ และตอนเย็นจะอยู่ได้ถึง 6:30 ส่วนตอนเช้าจะขึ้นได้ตอนตี 4:30
-ราคาปกติคนอินโด 30,000 แต่ถ้าชาวต่างชาติเห็นว่าราคา 200,000 นะครับผมไม่แน่ใจนะ
-ถ้านอนที่โรงแรมจะได้ราคา 250,000 / รอบ ครับ
-ซึ่งราคานี้โรงแรมจะให้ ของว่าง เป็นขนมท้องถิ่นอร่อยดีฮะ มีใบเตยกับขนมกล้วยโรยมะพร้าวชีส และกาแฟหรือชา 1 แก้ว
-ยัง ยังไม่หมด ให้ของที่ระลึกเป็นผ้าพันคออีกหนึ่งผืน เสื้อกันฝน ไฟฉายอีก คุ้มแหละ จอดรถฟรีด้วยนะ
-ตอนอยู่ด้านบนยิ่งค่ำยิ่งมืด แสงหมด ก็ได้ฟีลหลอนๆไปนะ
-ลงมาข้างล่าง 6:30 กินขนม บึ่งรถกลับโรงแรม
-เพลียสุดๆฮะ พรุ่งนี้ต้องตื่นตีสามเตรียมตัวไปถ่ายแสงเช้าต่อ
Day 16 : Yogyakarta
-ตื่นมาตามนัด ตีสามครึ่ง
-เตรียมตัวครึ่งชั่วโมง ลงไปลานจอดรถ แล้วแว๊นซ์ไปเลย
-อากาศเช้าๆเย็นๆนะ สักยี่สิบกว่าๆได้ เห็นตอนเช้าคนที่มาใส่แจ๊คเก็ตกันเกือบหมด
-ตอนเช้านี่คนเยอะกว่าตอนเย็นมาก 3-4 เท่าได้
-ตอนประตูปกติยังไม่เปิดคนก็เยอะแล้ว ถ้าประตูปกติเปิดเวลา 6:00 คนก็ยิ่งเยอะสิ
-วันนี้ทัวร์ญี่ปุ่น ทัวร์จีน ทัวร์อินเดีย มากันเต็ม ธงทัวร์โบกไสวเลย
-พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เออ ค่อยสวยละ ไม่เหมือนเมื่อวาน ฟ้าเปิดด้วย มองเห็นภูเขาไฟชัดเลย วันนี้รู้สึกคุ้ม
-เจอหลวงพี่พระไทย ได้คุยกันนิดหน่อย หลวงพี่บอกว่าวัดไทยอยู่แถวๆนี้แหละ คราวหน้ามานอนที่วัดก็ได้นะ–ดีจังประหยัดด้วย ฮ่าๆ
-ตั๋วรอบเช้า sunrise จะได้เข้าดูมิวเซียมฟรีด้วยนะ ไปดูกันได้ แต่ผมลงมาสายแล้วเลยไม่ได้เข้า
-ลงมาถึงโรงแรมกะมากินขนมเต็มที่ ปิดแล้วค๊าบบ พนักงานบอกเปิดถึง 9 โมง
-โอเคงั้นกลับโรงแรมเอาของเก็บ คืนรถดีกว่า
-ที่นี่มีที่เที่ยวอีกหลายที่นะ ทั้งภูเขาไฟเมราปี พนัมบานัน วัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในอินโด–แค่ผมไม่อินอ่ะ เลยมาแค่บุโรพุทโธที่เดียว
-ช่วงบ่ายๆก็พักผ่อนก่อน เพราะคืนนี้ต้องขึ้นรถไฟไปสุราบายา เพื่อขึ้นเครื่องกลับไทยแล้วว ✈️
-ตอนเย็นออกไปเดินแถวๆถนน Malioboro แถวนี้สุดถนนจะมีคนแต่งคอสเพลย์มายืนเรียงๆกัน เพื่อเรี่ยไร
-มีทั้ง โดราเอมอน ฮักค์ สตาร์วอร์ส ทรายฟอร์เมอร์ ดูแล้วสนุกดีฮะ
-ถ้าจะหาของกิน แถบๆนี้มีแผงลอยเยอะมาก ขายสะเต๊ะข้างทางเต็มไปหมดใครชอบโลคอลก็แวะลองกันได้
-วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่นี่แล้ว คืนนี้ตีสาม นั่งรถไฟไปต่อเครื่องที่สุราบาย่าต่อ แล้วกลับไทยเลย
-ผมเคยเห็นเพื่อนๆ และรีวิว เยอะแยะเลย ที่มาเที่ยวกันที่โบรโม่ คาวาอีเจี้ยน คือดูในรูปก็อยากไปแหละ สวยว่ะ สวยเว้ย น่าไป
-แต่พอมาเองมันก็สวยนะ แต่ความรู้สึกอิ่ม ภาพกว้างๆ แลนด์สเคปสวยๆ ความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟ การเดินบนปากปล่องที่ไม่มีที่กั้น กลิ่นกำมะถัน ความเหนื่อยหอบการเทรกกิ้งขึ้นเขา ความชิลที่บาหลี การได้เต้นพร้อมเบียร์บินตังของอินโดที่ร้านปะปนกับฝรั่ง ตอนที่นั่งฟังเสียงคลื่นมากระทบหน้าผาแล้วมีสายรุ้งเกิดขึ้น ตอนได้เห็นเต่าทะเลตัวใหญ่เบิ้ม ทุกสิ่งทุกอย่างมันดีจนผมคิดว่า ลองมากันเถอะ ผมยังอยากกลับมาอีกเลยนะ
Day 17 : Home
-กลับบ้านแล้วววว
-ขึ้นรถที่สถานี ยอคยา ไปลง Surabaya Gubeng
-ทางเข้าตอนกลางคืนเดินไกลมาก ต้องไปเข้าทางประตูสำหรับเอารถเข้ามา
-เข้าสถานีมีจะต้องเอาตั๋วให้เจ้าหน้าที่ หรือใส่โค้ดที่คอมหน้าทางเข้าก็ได้ เครื่องจะปริ้นท์ Boarding Pass มา
-บนตั๋วจะมีบอกตู้โบกี้ เลขที่นั่ง ก็นั่งตามนั้น แต่คนอินโดก็ไม่นั่งตามเลขนะ
-รถไฟมาตรงเวลา แถมรถดีอีก เหมือนอารมณ์นั่งรถทัวร์ vip แน่ล่ะแพงขนาดนี้ เป็นคลาส Exclusive ด้วยอ่ะ
-บนรถไฟมีหมอน ผ้าห่ม และมีคนมาทำความสะอาดด้วย
-นั่งหลับกันยาวๆ 5 ชั่วโมง
-ช่วงก่อนถึงสุราบาย่า ผมออกมาเดินเล่นบนรถไฟเพราะเมื่อยมาก ก็เจอพนักงานรถไฟมาชวนคุยถามว่ามาจากไหน ก็บอกไปคนไทยตามเรื่อง
-แล้วแกเห็นเราชอบถ่ายรูปทีนี้ก็ชวนไปถ่ายรถไฟตอนหยุดแล้วมีรถไฟสวนมา ตลกดี ทีนี้เราเลยให้พี่เค้าถ่ายรูปเรากับรถไฟบ้าง
-พอรถไฟออกพี่เค้าก็มาชวนคุย ทั้งที่อังกฤษไม่ค่อยได้นะ ก็มั่วๆภาษามือกันใหญ่ทีนี้ แล้วแกก็มาขอถ่ายรูปด้วยเลย สนุกสนานก่อนกลับบ้านกันไปนะ
-รถไฟไม่เลท แต่เครื่องบิน แอร์เอเซียเลท จาก 11:10 มาเป็น 14:30 แต่ออกจริงๆ สามโมงกว่าๆ
-เครื่องมาถึง กทม 19:45 แล้วผมต้องไปต่อเครื่องตอน 21:35 ที่สุวรรณภูมิ นี่ขนาดเผื่อเวลาละนะ ระทึกมาก เช็คอินมาแล้ว แต่ยังไม่ได้โหลดกระเป๋า เรียกว่าฉิวเฉียดเลยทีเดียว
-กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
-ไว้ไปเที่ยวใหม่นะอินโดนีเซีย ชอบมาก
ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาจนจบครับ
หากมีข้อสงสัยส่วนไหนเกี่ยวกับทริป อยากจะสอบถาม สามารถทักทายกันในเพจ POPPAJOURNEY ได้เลยนะครับ
ฝากกดแชร์ ไลท์ แท็คเพื่อนชวนมันเข้าไป เผื่อจะได้มีทริปดีๆไว้ในความทรงจำสนุกๆมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ
ไว้ไปเที่ยวด้วยกันใหม่ครับ